ทำไมซื้อเพชรต้องมีใบเซอร์.. เคยได้ยินแต่คำว่า “ใบเซอร์” แล้วมันคืออะไร
พชร เจมส์ จะมาเล่าให้ฟังว่า ทำไมซื้อเพชร ต้องมีใบเซอร์ เริ่มกันเลยค่ะ ใบเซอร์เพชร เรียกเต็มๆ ก็คือใบรับรองคุณภาพเพชร (Diamond Report, Diamond Certificate) เป็นสิ่งที่บ่งบอกคุณลักษณะและคุณภาพของเพชรหรืออัญมณีเม็ดนั้นๆ ที่ได้ผ่านการตรวจวิเคราะห์จากนักอัญมณีศาสตร์ในห้อง Lab ที่มีความเชี่ยวชาญจากสถาบันที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก อาทิเช่น สถาบัน GIA, HRD, GIT, IGI เป็นต้น ซึ่งจะคนละอย่างกับใบเซอร์ตามร้านค้า (Certificate Guarantee) ที่ร้านค้าเป็นผู้ออกรับรองสินค้าของทางร้านเอง
ปัจจุบันใบเซอร์เพชรที่เป็นที่นิยมและมีความต้องการในตลาดการค้าเพชรจะมาจากสถาบัน GIA และ HRD หากคุณเลือกซื้อเพชรที่มีใบเซอร์เพชรก็จะช่วยการันตีเพชรของคุณ ทำให้คุณจะมั่นใจได้ว่า เพชรของคุณนั้นเป็นเพชรแท้อย่างแน่นอน และได้เพชรตรงตามคุณภาพที่ร้านค้าแจ้ง โดยสามารถเช็คราคาเพชรจากราคากลางในตลาด ที่เรียกว่า RAPAPORT DIAMOND REPORT
ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ที่ต้องการซื้อเพชร มักอยากได้เพชรที่มีใบเซอร์ประกอบเพื่อเป็นการการันตีเพชรเม็ดนั้นๆ จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมซื้อเพชรต้องมีใบเซอร์
พชร เจมส์ จะมาบอกเคล็ดลับวิธีการอ่านใบเซอร์เพชรที่เป็นจุดหลักใหญ่เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ง่าย การอ่านใบเซอร์เพชรเป็น ทำให้เพิ่มความมั่นใจในการซื้อเพชรได้ระดับนึง มาเริ่มกันเลยค่ะ
ใบเซอร์เพชรในรูปนี้ เรียกว่า ใบเซอร์เล็ก (GIA Diamond Dossier) ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้สำหรับเพชรที่น้ำหนักต่ำกว่า 1 กะรัต
จุดที่สำคัญที่คุณต้องรู้ในการอ่านใบเซอร์ คือ
1. ชื่อและ logo ของสถาบันที่ออกใบเซอร์เพชร
2. เลขที่ของใบเซอร์ (GIA Report Number) ตัวเลขนี้จะถูกเลเซอร์อยู่ที่ขอบเพชร (Girdle) โดยปกติร้านจะให้ลูกค้าส่องดูเลขที่ใบเซอร์เพื่อให้มั่นใจว่าเพชรที่ได้ไปนั้นตรงกับใบเซอร์เพชร
3. ส่วนที่บ่งบอกคุณภาพของเพชรของคุณ คือ 4Cs (อ่านเรื่อง 4Cs ได้ที่ ซื้อเพชรให้เป็น ต้องดูยังไง) ที่เป็นหัวใจสำคัญในการเลือกซื้อเพชร ได้แก่ Clarity, Color, Cut, Carat ซึ่งราคาของเพชรแต่ละเม็ดก็จะขึ้นอยู่กับคุณภาพ 4Cs ของเพชรเม็ดนั้นๆ
4. ตำหนิภายในของเพชร (Clarity Characteristics) เป็นส่วนที่จะบ่งบอกตำหนิของเพชรของคุณ ซึ่งจะสัมพันธ์กันกับ Clarity Grade
5. สัดส่วนการเจียระไนของเพชร (Proportions) เป็นส่วนที่บอกขนาดและองศาของการเจียระไน ซึ่งหากเพชรมีการเจียระไนที่ดี จะส่งผลต่อประกายของเพชรเม็ดนั้น หรือ พูดกันบ่อยๆว่า ไฟ
นอกจากนี้ใบเซอร์เพชรในรูปนี้ เรียกว่าเป็นใบเซอร์ใหญ่ (GIA Diamond Grading Report) เป็นใบเซอร์ที่สถาบัน GIA นิยมออกให้สำหรับเพชรที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 กะรัต
ส่วนที่แตกต่างกันบนใบเซอร์เล็ก และใบเซอร์ใหญ่ คือ ใบเซอร์ใหญ่จะแสดงรูปการ Plot ตำหนิของเพชร (Clarity Characteristics) เพื่อแสดงตำแหน่งว่าตำหนิแต่ละชนิดอยู่บริเวณส่วนไหนของเพชรเม็ดนั้นๆ ในการ Plot ตำหนิจะสัญลักษณ์เฉพาะแทนตำหนิแต่ละชนิด
ทั้งนี้ คุณอาจจะมีโอกาสพบใบเซอร์เพชรที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 1 กะรัต แต่เป็นใบเซอร์ใหญ่ก็เป็นได้ แต่ก็ไม่บ่อยนัก เนื่องจากราคาใบเซอร์ใหญ่จะแพงกว่าใบเซอร์เล็ก
มาอ่านกันต่อที่ใบเซอร์เพชรของ HRD เลยค่ะ ต้องบอกก่อนว่า HRD จะทำใบเซอร์เพชรสำหรับเพชรที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1 กะรัตขึ้นไปเท่านั้น
มาดูกันเลยว่าใบเซอร์ของ HRD บอกอะไรบ้าง
1. เลขที่ใบเซอร์เพชร (Natural Diamond Certificate) คือ เลขประจำตัวของเพชร โดยจะถูกเลเซอร์อยู่ที่ขอบเพชร เช่นเดียวกับเพชรใบเซอร์ GIA
2. ข้อมูลของ 4Cs – Clarity, Color, Cut, Carat ที่เป็นหัวใจสำคัญในการเลือกซื้อเพชร เพื่อบ่งบอกคุณภาพของเพชรเม็ดนั้นๆ (อ่านเรื่อง 4Cs ได้ที่ ซื้อเพชรให้เป็น ต้องดูยังไง) ซึ่งราคาของเพชรแต่ละเม็ดก็จะขึ้นอยู่กับคุณภาพ 4Cs ของเพชรเม็ดนั้นๆ
3. สัดส่วนการเจียระไนของเพชร (Technical Information)
4. ภาพที่ Plot ตำหนิภายในของเพชร ซึ่งจะสัมพันธ์กับ Clarity Grade และคล้ายกับใบเซอร์ใหญ่ของ GIA
ในการอ่านใบเซอร์จาก 2 สถาบันนี้ จะมีคำบางคำที่ใช้แตกต่างกัน
1. สำหรับคุณภาพ Clarity ระหว่าง GIA vs HRD
GIA จะให้เกรดความใสสะอาดเพชรเมื่อส่องดูด้วย Loupe หรือ กล้องไมโครสโคป ที่กำลังขยาย 10 เท่า (10X) และใช้ตัวย่อบอก Clarity – FL, IF, VVS1, VVS2, VS1, VS2, SI1, SI2, I1, I2, I3
HRD จะให้เกรดความใสสะอาดเพชรเมื่อส่องดูด้วย Loupe 10 เท่า (10X) และใช้ตัวย่อบอก Clarity – LC, VVS1, VVS2, VS1, VS2, SI1, SI2, P1, P2, P3 ซึ่งตัวย่อ LC ของ HRD มาจาก Loupe – Clean ซึ่งจะหมายรวมถึง FL (Flawless) และ IF (Internal Flawless)
ใน GIA สำหรับ P ใน HRD จะเป็นระดับเดียวกับ I ใน GIA เพียงแต่ใช้ชื่อเรียกและตัวย่อที่แตกต่างกัน
GIA จะเรียกตำหนิภายใน “รอยแตกหรือรอยร้าว” ว่า “Feather” ในขณะที่ HRD จะเรียกว่า “Cleavage”
GIA จะเรียก “ร่องรอยการเจริญเติบโตของเพชร” ว่า “Graining” ในขณะที่ HRD จะเรียกว่า “Growth Line” เป็นต้น